เพชรพระอุมา


เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปีโดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม)  แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547

โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา
 
จุดเริ่มต้นของเพชรพระอุมา

พนมเทียนเริ่มต้นการเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ. 2507 โดยตกลงทำข้อสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา (ซึ่งปัจจุบันสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ได้ยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในป่าจำนวนหนึ่งเรื่อง โดยมีข้อกำหนดความยาวของนวนิยายเพียงแค่ 8 เล่มจบเท่านั้น แต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพชรพระอุมาเพิ่มเติมต่อจน ครบ 10 เล่ม และขอยุติการเขียนตามข้อสัญญา แต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยายังไม่อนุญาตให้พนมเทียนยุติการเขียน และได้ขอร้องให้เขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม พร้อมกับบอกกล่าวถึงความนิยมของนักอ่านที่มีต่อเพชรพระอุมา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยกันในระยะปลาย ๆ ของเล่มที่ 10จน สถิติการตีพิมพ์และการจัดจำหน่ายของนวนิยายเรื่องนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และได้รับการตอบรับจากนักอ่านหลาย ๆ รุ่นเป็นอย่างดีในการช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่องของเพชรพระอุมา และแจ้งเตือนแก่พนมเทียนถึงชื่อตัวละครหรือสถานที่ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาที่ มีการผิดพลาด

เพชรพระอุมาออกวางจำหน่ายในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค เป็นแบบรายวันคือ 10 วัน ต่อหนังสือ 1 เล่ม และยังคงดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปจนถึงเล่มที่ 40 จนกระทั่งมีความยาวถึง 98 เล่ม เนื้อเรื่องก็ยังไม่สามารถจบลงได้จนกระทั่งเพชรพระอุมาฉบับพ็อตเก็ตบุ๊คเล่มที่ 99 ได้ออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 จึงได้รับการตีพิมพ์ต่อเนื่องใน "จักรวาลรายสัปดาห์" ในปี พ.ศ. 2513 เป็นระยะเวลา 5 ปี และตีพิมพ์ต่อเนื่องใน "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์" ในปี พ.ศ. 2518 เป็นระยะเวลาอีก 6 ปี พนมเทียนก็ยังไม่สามารถจบเรื่องราวการผจญกัยในป่าของเพชรพระอุมา จนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์ต่อใน "จักรวาลปืน" ในปี พ.ศ. 2525 อีก 8 ปี เรื่องราวทั้งหมดจึงสามารถจบลงได้ในปี พ.ศ. 2533
ระยะเวลาในการเขียน

เพชรพระอุมาใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี ซึ่งระยะเวลาที่ยาวนานนั้นมาจากการที่พนมเทียนเป็นนักเขียนอาชีพ และยึดถือเอาสิ่งสำคัญที่สุดของงานเขียนก็คือผู้อ่าน โดยตราบใดที่งานเขียนของตนเองยังคงได้รับความนิยมและมีผู้สนใจติดตามอ่าน ตราบนั้นความสุขใจในการเขียนก็เป็นสิ่งที่มีความสุขมากที่สุดของพนมเทียนทำให้เนื้อเรื่องของเพชรพระอุมาถูกสร้างสรรค์และเขียนแต่งขึ้นตามจินตนาการ ร่วมกับประสบการณ์ในการเดินป่าอย่างละเอียดลออ จนกระทั่งมีความยาวมากทั้งภาคแรกและภาคสมบูรณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ สามารถจินตนาการตามตัวอักษรและสร้างอารมณ์ร่วมในการติดตามเนื้อเรื่องและการ ดำเนินเรื่องของตัวละครต่าง ๆ ได้

พนมเทียนนั้นมีวิธีการเขียนเนื้อเรื่องเพชรพระอุมาในรูปแบบการเขียนของตน เอง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยพยายามเขียนบรรยายถึงลักษณะท่าทาง ตลอดจนอากัปกิริยาต่าง ๆ ของตัวละครทุกตัวที่ปรากฏในเพชรพระอุมา โดยไม่ยอมให้เป็นการเขียนที่เรียกได้ว่าเขียนแบบผ่านเลยไป ทำให้ผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดไม่ได้อรรถรสและความเข้มข้นของเนื้อ เรื่อง แต่พนมเทียนจะเขียนโดยแจกแจงอากัปกิริยาทุกขณะและทุกฝีก้าวของตัวละคร เพื่อให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นการกระทำต่างหรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่นกระทิงหรือเสือโคร่งถู กรพินทร์ ไพรวัลย์ยิงล้มลง ก็จะเขียนบรรยายเริ่มตั้งแต่รพินทร์และคณะเดินทางพบเจอกับสัตว์ เกิดการต่อสู้หรือติดตามแกะรอยจนถึงประทับปืนและเหนี่ยวไกยิง จนกระทั่งสัตว์นั้นล้มลงเสียชีวิต หรือแม้แต่การพูดจาเล่นลิ้นยั่วยวนกวนประสาทของแงซายและรพินทร์ ไพรวัลย์ จนถึงการพร่ำพรรณนาคำรักหวานซึ้งระหว่างไชยยันต์ อนันตรัยและมาเรีย ฮอฟมัน พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถทำให้ผู้อ่านได้รับ รู้ว่าในขณะนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จนทำให้เพชรพระอุมากลายเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก
ความเป็นมาของโครงเรื่อง



ปกหนังสือนวนิยายเรื่องคิง โซโลมอน'ส มายน์ส

โครงเรื่องของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้เค้าโครงเรื่องมาจากแนวความคิดของเรื่องคิง โซโลมอน'ส มายน์ส ของ เซอร์ฯ แฮกการ์ด ซึ่งเป็นเค้าโครงของการผจญภัยเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่พนมเทียนจะเขียนเพชรพระอุมาก็ได้มีการวางโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้เช่นเดียวกับงานเขียนอื่น ๆ ซึ่งโครงเรื่องคร่าว ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนวางเอาไว้เพียงเล็กน้อยโดยกำหนดให้เป็นเรื่องราวการผจญภัยในป่าของ นายพรานผู้นำทางคนหนึ่งเท่านั้น

และต่อมาภายหลังได้เขียนเนื้อหาสำคัญของโครงเรื่องเพิ่มเติม จนกลายเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางและการผจญภัยของพรานป่า ที่รับจ้างวานนำทางในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายยังดินแดนลึกลับและเต็มไป ด้วยอาถรรพณ์แห่งป่า พร้อมกับขุมทรัพย์เพชรพระอุมาอันเป็นตำนานเล่าขาน ก่อนออกเดินทางมีกะเหรี่ยงพเนจรมาขอสมัครเป็นคนรับใช้และขอร่วมติดตามไปกับ คณะเดินทางด้วย จนกระทั่งเมื่อบุกป่าฝ่าดงและอันตรายต่าง ๆ ไปถึงจุดหมายปลายทางความจริงก็ปรากฏว่า กะเหรี่ยงลึกลับที่ร่วมเดินทางมาด้วยนั้นกลายเป็นรัชทายาทที่แท้จริงของ เมืองมรกตนคร เมืองลับแลที่ไม่ปรากฏในแผนที่ พรานผู้นำทางและคณะเดินทางได้ช่วยกันทวงชิงและกอบกู้ราชบัลลังก์คืนให้แก่ กะเหรี่ยงลึกลับได้สำเร็จพร้อมกับได้พบขุมทรัพย์เพชรพระอุมาที่เป็นตำนาน เล่าขานมาแต่โบราณ

จากโครงเรื่องเดิมของคิง โซโลมอน'ส มายน์ส เพียงแค่ 4 บรรทัดเท่านั้น แต่พนมเทียนสามารถนำมาเขียนเป็นเพชรพระอุมาโดยเล่าเรื่องราวการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์ รวมทั้งภูมิประเทศในแถบดงพญาไฟหรือดงพญาเย็นในปัจจุบัน ภูมิประเทศของจังหวัดนครสวรรค์และป่าดงดิบของประเทศไทยในอดีตโดยดึงประเด็นจุดสำคัญของชีวิตการเดินป่าของตนเองที่เคยผ่านมาก่อนผสมเข้าในไปโครงเรื่องของเพชรพระอุมาด้วย
ต้นแบบของโครงเรื่อง

พนมเทียนนำเอาความรู้ความชำนาญในการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์จากประสบการณ์จริงของตนเอง มาเป็นพื้นฐานในการเขียนนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา โดยเค้าโครงเรื่องและส่วนประกอบต่าง ๆ ได้นำมาจากเรื่องเล่าขานและสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากนักท่องไพรรุ่น อาวุโส หรือเรื่องเล่ารอบกองไฟของพรานพื้นเมืองต่าง ๆ ยามพักผ่อนภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการล่าสัตว์และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

เพชรพระอุมามีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่พนมเทียนนำมาเป็นต้นแบบของโครงเรื่อง ดังนี้
นำมาจากประสบการณ์การเดินป่าของตนเองส่วนหนึ่ง
เก็บเรื่องเล่าจากการล้อมวงรอบกองไฟของพรานพื้นเมืองและนักท่องไพรต่าง ๆ
เรื่องเล่าเก่า ๆ จากบรรพบุรุษ ถึงความลึกลับและอาถรรพณ์ต่าง ๆ ของป่าในวัยเด็ก
เกิดจากแรงสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเอง

ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาเขียนเพชรพระอุมา พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ อารมณ์และจินตนาการของตัวละครในนวนิยายได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งต้นแบบของโครงเรื่อง ก็มาจากประสบการณ์จริงบวกกับจินตนาการของพนมเทียนนั่นเอง
โครงเรื่อง

เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสองภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของเพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร, ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิตรางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร ซึ่งเค้าโครงเรื่องในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ของเพชรพระอุมามีดังนี้
ภาคแรก

เพชรพระอุมาเป็นเรื่องราวการผจญภัยในดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ เรื่องราวแปลกประหลาดต่าง ๆ ในป่าดงดิบของรพินทร์ ไพรวัลย์ พรานป่าผู้รับจ้างนำทางในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายของคณะนายจ้างชาวเมือง ที่มี พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางพร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ น้องสาวคนเล็ก และ พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย เพื่อนชายคนสนิท โดยมีพรานบุญคำ พรานจัน พรานเกิดและพรานเส่ย พรานป่าคู่ใจของรพินทร์ ไพรวัลย์ จำนวน 4 คน และแงซาย กะเหรี่ยงลึกลับที่มาขอสมัครเป็นคนรับใช้เพื่อขอร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย

การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตรายนานาชนิด ที่ทำให้คณะเดินทางต้องเสี่ยงภัยและเผชิญกับสัตว์ร้ายในป่าดงดิบ อาถรรพณ์ของป่า นางไม้ ภูตผีปีศาจหรือแม้แต่สัตว์ประหลาด ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตลอดระยะเวลาในการเดินทาง พลัดหลงเข้าไปในดินแดนลึกลับของอาณาจักรนิทรานคร ต่อสู้กับจอมผีดิบร้ายมันตรัยที่ มีพละกำลังกล้าแข็งและมีอำนาจอย่างแรงกล้า ผ่านห้วงเวลาเหลื่อมซ้อนกันจนหลุดผ่านเข้าไปในยุคของโลกดึกดำบรรพ์ และค้นพบปริศนาความจริงของกะเหรี่ยงลึกลับในฐานะคนรับใช้และองค์รักษ์ประจำ ตัวของดาริน ที่ติดสอยห้อยตามคณะเดินทางมายังเนินพระจันทร์และมรกตนคร ซึ่งฐานะที่แท้จริงของแงซายถูกเปิดเผยและคณะเดินทางของเชษฐาได้พบเจอกับ บุคคลที่ออกติดตามค้นหารวมทั้งช่วยกันกอบกู้บัลลังก์คืนให้แก่แงซายจนสำเร็จ
ภาคสมบูรณ์

ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจและเดินทางกลับจากเมืองมรกตนครของแงซาย รพินทร์ ไพรวัลย์ ได้ถูกว่าจ้างให้ออกติดตามหาเครื่องบินที่สูญหายพร้อมด้วยระเบิดนิวเคลียร์ อีกครั้ง รพินทร์จำใจรับจ้างเป็นพรานผู้นำทางออกติดตามค้นหาซากเครื่องบินที่สูญหายไป จากแผนที่ประเทศไทย โดยมีชาวต่างชาติจำนวน 4 คน เป็นผู้ว่าจ้าง แต่เมื่อเชษฐาและดารินซึ่งเป็นอดีตนายจ้างของรพินทร์ ได้ทราบข่าวการรับจ้างเป็นพรานผู้นำทางของรพินทร์ ก็เกรงว่าจะถูกฆ่าทิ้งเมื่อทำงานเสร็จสิ้น เนื่องจากเป็นงานลับขององค์กร จึงออกติดตามคณะนายจ้างใหม่ของรพินทร์

การติดตามค้นหารพินทร์และคณะนายจ้างฝรั่ง คณะเดินทางของเชษฐาได้เผชิญหน้ากับมันตรัยที่ฟื้นคืนชีพที่อาณาจักรนิทรานคร และกับเล่าถึงอดีตชาติของดารินและรพินทร์ที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตในชาติปาง ก่อน รวมทั้งพยายามล่อลวงเอาตัวดารินไปยังอาณาจักรนิทรานคร เพื่อให้ได้ในตัวของจิตรางคนางค์หรือดารินในชาติปัจจุบัน แต่ก็ได้เชษฐาและไชยยันต์มาช่วยเหลือไว้อย่างทันท่วงที และปราบมันตรัยด้วยบ่วงนาคบาศก์ได้สำเร็จ รพินทร์นำคณะนายจ้างฝรั่งบุกป่าเพื่อค้นหาซากเครื่องบินและระเบิดนิวเคลียร์จน พบ โดยได้รับความช่วยเหลือจากแงซายในรูปของจิตใต้สำนึก จนภายหลังทั้ง 2 คณะได้เดินทางมาพบกันที่เมืองมรกตนคร แงซายรวบรัดให้ดารินและรพินทร์แต่งงานกันที่เมืองมรกตนคร ก่อนจะอำลากันเป็นครั้งสุดท้ายในการพบกันระหว่างบุคคลทั้งหมด
การตีพิมพ์เพชรพระอุมา

เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ในรูปแบบของพ็อคเก็ตบุ๊คจำนวน 98 เล่ม ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารจักรวาลรายสัปดาห์ โดยตีพิมพ์ต่อเนื่องจากสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยาตั้งแต่เล่มที่ 99 ต่อเนื่องจนถึงเล่มที่ 268 ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 และฉบับรวมเล่มจำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็น
เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ ฉบับรวมเล่ม จำนวน 4 เล่ม และ
เพชรพระอุมา ตอนมรกตนคร ฉบับรวมเล่ม จำนวน 18 เล่ม

ต่อมาได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชวนะบุตร ในปี พ.ศ. 2518 จำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็นตอน ๆ รวมทั้งสิ้น 5 ตอน ได้แก่ เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ จำนวน 5 เล่ม, ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม, ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม, ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 5 เล่ม และตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม และได้รับการตีพิมพ์เพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภายหลังจากพนมเทียนเขียนเพชรพระอุมาภาคแรกจบ โดยเริ่มเพชรพระอุมา ตอน จอมพราน ในวันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 ถึง วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2525 และได้นำภาคแรกมาตีพิมพ์ซ้ำจนจบในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2527 และตีพิมพ์ภาคสามของเพชรพระอุมา ตอน มงกุฎไพร ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ถึง พ.ศ. 2533 โดยนิตยสารจักวาลปืน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งโดยสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ปัจจุบันตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน แบ่งการตีพิมพ์เป็นสองครั้งด้วยกัน โดยตีพิมพ์ครั้งแรก 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 5 ตอน ดังนี้
ภาคแรก
ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม ภาคสมบูรณ์
ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 5 เล่ม
ตอน นาคเทวี จำนวน 5 เล่ม
ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 5 เล่ม
ตอน มงกุฎไพร จำนวน 5 เล่ม


และตีพิมพ์ครั้งปัจจุบัน 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 6 ตอน ดังนี้
ภาคแรก
ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
ตอน อาถรรพ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม ภาคสมบูรณ์
ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จิตรางคนางค์ จำนวน 4 เล่ม
ตอน นาคเทวี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 4 เล่ม
ตอน มงกุฎไพร จำนวน 4 เล่ม

คำนิยมเพชรพระอุมา ดูรายละเอียดคำนิยมเพชรพระอุมาเพิ่มเติมได้ที่ คำนิยมเพชรพระอุมา

ตลอดระยะเวลาที่เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ฉบับรวมโดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ได้มีคำนิยมของ "เพชรพระอุมา" จากผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้ให้คำนิยมส่วนตัวแก่นวนิยายที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของนวนิยาย และเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนักอ่านหลาย ๆ รุ่น ซึ่งได้รับความบันเทิง ความสนุกสนานจากการอ่านเพชรพระอุมา แม้เนื้อเรื่องจะมีความยาวเป็นอย่างมากก็ตาม

คำนิยมของ "เพชรพระอุมา" ในแต่ละเล่มและแต่ละตอน จึงเป็นการรับรองถึงความเป็นนวนิยายที่มีความบันเทิง ตื่นเต้นเร้าใจและการผจญภัยตามแต่จินตนาการของพนมเทียน ที่นอกจากสามารถทำให้นักอ่านได้สนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามและ ลุ้นระทึกแล้ว ยังได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการเดินป่า การล่าสัตว์ รวมทั้งอาวุธปืนอีกด้วย
กระแสตอบรับและคำวิจารณ์

เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่ ได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดียิ่ง กระทั่งสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าไม่ยอมให้พนมเทียนยุติการเขียน ถึงขนาดที่ว่า "...ในช่วงที่พนมเทียนกำลังเขียนเรื่องนี้ตีพิมพ์ขายเป็นเล่มพ็อกเก็ตบุ๊ค ติดต่อกันนั้น ถึงกับมีผู้อ่านมาเข้าคิวรอซื้อกันหน้าโรงพิมพ์เลยทีเดียว..."

ความสำเร็จดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการประพันธ์ของพนมเทียน ซึ่ง ว.วินิจฉัยกุล ได้เอ่ยถึงว่า "...พนมเทียนเป็นผู้พิถีพิถันทั้งในด้านรูปทรง สีสัน แสงและเงา ตลอดจนความเคลื่อนไหวที่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง มีแม้กระทั่งเสียง ด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำอย่างวิจิตรบรรจง มีกลิ่นอายของวรรณคดีอยู่ ในภาษาที่ใช้ เหมือนกับการแกะสลักลายซ้อนลงไปทีละชั้นจนเป็นหลายชั้นลึกละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่ร่างคร่าว ๆ พอให้เป็นรูปขึ้นมาเท่านั้น..." หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียง ตรัสถึงนวนิยายชุดนี้ว่า "เพชรพระอุมาคือมหากาพย์แห่งวรรณกรรมที่ไม่มีหนังสือเรื่องไหนที่จะเทียบ ได้" 

แม้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เพชรพระอุมา ลอกเค้าโครงเรื่องมาจาก King Solomon's Mine หรือ สมบัติพระศุลี เนื่องจากความคล้ายคลึงกันของตัวละคร วัตถุประสงค์ในการเดินป่า รวมถึงแผนที่ลายแทงของทั้งสองเรื่อง ที่มีเนื้อความใกล้เคียงกันมาก วิทยานิพนธ์ของ สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา ได้รายงานการศึกษาเชิงเปรียบเทียบสำหรับวรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้ ในบทคัดย่อปรากฏความตอนหนึ่งว่า "นวนิยายผจญภัยเรื่อง เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่มีลักษณะเป็นแบบฉบับของพนมเทียนเอง เนื่องจากการได้รับอิทธิพลนั้น เป็นการได้รับอิทธิพลแล้วนำอิทธิพลที่ได้รับนั้นมาสร้างสรรค์และขยายเรื่อง ราวการผจญภัยใน เพชรพระอุมา ให้สนุกสนานและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสบการณ์ในการเดินป่า และความรู้ในด้านต่างๆ ของตนเองเข้าไปได้อย่างเหมาะสม"  ว.วินิจฉัยกุล ให้ความเห็นว่า "...'เพชรพระอุมา' ภาค 1 เป็นงานที่สร้างยากกว่า King Solomon's Mines และมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดมาก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า การที่สถาปนิกไทยใช้กระเบื้องมุงหลังคาและเสาปูนของฝรั่ง ตลอดจนหน้าต่างกระจกติดเครื่องปรับอากาศ มาสร้างบ้านไทย ก็หาได้ทำให้บ้านไทยนั้นกลายเป็นบ้านฝรั่งไปไม่ และยิ่งเมื่อใช้พื้นไม้สัก ฝาปะกน ฝาเฟี้ยมแบบไทย มีประตูที่มีธรณีประตูสูง มีหย่อง หรือแผ่นไม้สลักใต้หน้าต่าง มีคันทวยสลักค้ำชายคา นอกชานตั้งเขามอ และไม้ดัดตลอดจนอ่างปลาเงินปลาทอง มันก็กลายเป็นบ้านไทยประยุกต์ที่คนไทยคุ้นตากันนั่นเอง..."
ดูบทความหลักที่ เนื้อเรื่องเพชรพระอุมา

เนื้อเรื่องทั้งหมดจำนวน 48 เล่ม ความยาวมากกว่า 18,000 หน้า แบ่งเป็นสองภาค ดังนี้
ภาคแรก :ไพรมหากาฬ เล่ม 1 ดำเนินเนื้อเรื่องถึง แงซายจอมจักรา เล่ม 4 (รวม 24 เล่ม)
ภาคสมบูรณ์ :จอมพราน เล่ม 1 ดำเนินเนื้อเรื่องถึง มงกุฏไพร เล่ม 4 (รวม 24 เล่ม)
ตัวละครและความเป็นมา

ดูบทความหลัก ตัวละครในเพชรพระอุมา และ ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา

แบ่งแยกตามตัวละครหลักและตัวละครรอง ตามแต่ปรากฏในแต่ละภาค ได้แก่ภาคแรกไพรมหากาฬ - แงซายจอมจักรา ในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายและภาคสมบูรณ์จอมพราน - มงกุฎไพร ในการออกติดตามหาเครื่องบิน บี 52 และระเบิดนิวเคลียร์

เนื่องจากเป็นนวนิยายที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย ทำให้พนมเทียนต้องสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นจำนวนมาก นอกจากตัวละครหลักคือ รพินทร์ ไพรวัลย์ และตัวละครอื่น ๆ ในภาคแรกได้แก่คณะนายจ้างที่มีพันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา, หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์, พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย,มาเรีย ฮอฟมัน, แงซาย พรานคู่ใจของรพินทร์ ฯลฯ แล้ว ยังมีตัวละครปลีกย่อยอีกนับไม่ถ้วนที่ปรากฏในแต่ละตอน รวมทั้งในภาคสมบูรณ์ที่ประกอบด้วยคณะนายจ้างชุดใหม่ในการออกติดตามค้นหาซากเครื่องบินและระเบิดนิวเคลียร์

ตัวละครเหล่านี้ มีลักษณะนิสัยใจคอรวมทั้งบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน จากจินตนาการและบุคคลที่มีตัวตนจริง ๆ โดยหยิบยืมลักษณะนิสัยบางส่วน นำมาแต่งเติม ได้แก่ รพินทร์ ไพรวัลย์, หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์, แงซาย, พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์, พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย, มาเรีย ฮอฟมัน ฯลฯ
องค์ประกอบภายในเพชรพระอุมา
เส้นทางการเดินทาง
ดูบทความหลักที่ เส้นทางการเดินทางในเพชรพระอุมา

เส้นทางการเดินทางในการออกติดตามค้นหาบุคคลผู้สูญหายและขุมทรัพย์เพชรพระ อุมา รวมทั้งระยะเวลาในการออกติดตามค้นหาซากเครื่องบินและระเบิดนิวเคลียร์ ตามระยะเวลาในบทประพันธ์ของพนมเทียนในช่วงของระยะเวลาในการเดินทางของเพชร พระอุมาภาคแรกคือ 147 วัน โดยแบ่งออกเป็นช่วงระยะเวลาทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกันคือช่วงที่ 1 จำนวน 20 วัน นับตั้งแต่รพินทร์ ไพรวัลย์และคณะนายจ้าง ใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัวก่อนเดินทาง ช่วงที่ 2 จำนวน 67 วัน นับตั้งแต่ในการเริ่มการเดินทางจากหนองน้ำแห้ง ช่วงที่ 3 จำนวน 42 วัน นับตั้งแต่คณะเดินทางออกจากหล่มช้าง และช่วงที่ 4 จำนวน 18 วัน นับตั้งแต่คณะเดินทางอยู่บริเวณถันพระอุมาและออกจากเมืองมรกตนคร และช่วงระยะเวลาในการเดินทางของเพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์คือ 31 วัน

ซึ่งตลอดเส้นทางการเดินทางของรพินทร์และคณะเดินทาง ตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทางจากหนองน้ำแห้ง ผ่านจุดต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่พนมเทียนได้สร้างสรรค์ขึ้นมาจากจินตนาการและสถานที่จริงบาง แห่ง เช่นหมู่บ้านหนองน้ำแห้ง เป็นสถานที่จริงที่ตั้งอยู่แห่งหนึ่งชื่อหนองแห้งในจังหวัดกาญจนบุรี เป็นหมู่บ้านของชาวบ้านป่าที่ไม่มีสำมะโนประชากร  พนมเทียนก็ได้เก็บเอาลักษณะของคนภายในหมู่บ้านที่เป็นชาวป่า มีถิ่นอาศัยและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มาถ่ายทอดเป็นหมู่บ้านหนองน้ำแห้งของรพินทร์ ไพรวัลย์
การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอย
ดูบทความหลักที่ การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา

พนมเทียนได้กำหนดให้ตัวละครต่าง ๆ เช่น รพินทร์ ไพรวัลย์ แงซาย ดารินหรือบุคคลภายในคณะเดินทาง มีความชำนาญคล่องแคล่วในการล่าสัตว์รวมทั้งมีความสามารถและทักษะในเชิงพราน ด้านแกะรอย สามารถระบุถึงชนิดของสัตว์ที่เป็นเจ้าของรอยเท้าที่ปรากฏบนพื้นดิน ระยะเวลาของรอยเท้าที่ปรากฏหรือการสังเกตการฉีกขาดของกิ่งไม้ในที่สูงว่า เกิดจากสาเหตุใด รวมทั้งต้องพบเจอกับเหล่าสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากภายในป่า ตลอดจนการต่อสู้ไล่ล่าระหว่างสัตว์และมนุษย์

นอกจากนี้ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของพรานป่าล่าสัตว์ในการดำรงชีวิต ในป่า ที่ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ในความชำนาญเกี่ยวกับถิ่นอาศัยและสภาพแวด ล้อมของป่าภายในประเทศไทย ความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศและสภาพอากาศตามแต่ลักษณะของป่า เช่น ป่าดงดิบและป่าผลัดใบ ลักษณะของรอยเท้าและหลักสำคัญในการสะกดรอยตาม โดยทักษะในเชิงพรานทั้งหมดของตัวละคร มาจากการที่พนมเทียนนำเอาทักษะและประสบการณ์จริงของตนเองมาถ่ายทอดลงใน นวนิยาย เช่นเทคนิคการสังเกตตำแหน่งของการเดินป่า การสังเกตรอยเท้าของสัตว์ การสังเกตลักษณะของพืชและสัตว์ ตำแหน่งของทิศทาง รวมไปถึงศิลปะในการล่าสัตว์ของพรานป่าในสมัยก่อน
อาวุธปืน
ดูบทความหลักที่ อาวุธปืนในเพชรพระอุมา

พนมเทียนเป็นนักเดินป่าและล่าสัตว์ที่มีประสบการณ์ในการใช้อาวุธปืนและ เครื่องกระสุนเป็นอย่างดี และได้นำเอาทักษะรวมทั้งประสบการณ์จริงในการเดินป่าของตนเอง มาถ่ายทอดลงในเพชรพระอุมา ให้ตัวละครต่าง ๆ เช่น รพินทร์ ไพรวัลย์ หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ หรือ แงซาย มีความสามารถและความชำนาญในฝีมือการยิงปืน รวมทั้งอาวุธปืนในแต่ละรุ่น วัตถุระเบิดและเครื่องกระสุนต่าง ๆ เป็นจำนวนมากที่ใช้สำหรับในการเดินทาง เช่นทักษะในการยิงสัตว์ในขณะที่สัตว์กำลังวิ่งหรือเข้าชาร์จผู้ยิง รวมถึงตำแหน่งการวางเป้าปืนของการยิงปืนในแต่ละครั้ง

เพชรพระอุมาได้สะท้อนภาพให้เห็นถึงลักษณะของการใช้อาวุธปืนสำหรับการล่าสัตว์ในแต่ละขนาดเช่น เสือ กวาง กระทิงหรือช้าง เป็นการสะท้อนความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้อาวุธปืนให้เหมาะกับขนาดของสัตว์ที่ล่า ผ่านทางตัวละครในเพชรพระอุมาจำนวน 4 ลักษณะด้วยกันคือ
อาวุธปืนที่ใช้สำหรับการล่าสัตว์ปีก
อาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์ขนาดเล็ก
อาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์ขนาดกลาง
อาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์ขนาดใหญ่ และอานุภาพของปืนในแต่ละขนาดสำหรับการยิงสัตว์ชนิดต่าง ๆ


สามารถดาวน์โหลดอ่านได้ที่ http://www.learners.in.th/blogs/posts/518699

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น